บ้านเต้นรำ หรือที่รู้จักกันในชื่ออาคาร Nationale-Nederlanden เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมแบบ deconstructivist ตั้งอยู่ในกรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก อาคารนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชาวโครเอเชีย-เช็ก วลาดอ มิลูนิช (Vlado Milunić) ร่วมกับสถาปนิกชาวแคนาดา-อเมริกัน แฟรงค์ เกห์รี (Frank Gehry) โดยก่อสร้างระหว่างปี 1992 ถึง 1996 อาคารตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำวัลตาวา (Vltava River) และมีการออกแบบที่ไม่ธรรมดาซึ่งตัดกับสถาปัตยกรรมแบบบาโรก, โกธิค และอาร์ตนูโวที่เป็นเอกลักษณ์ของกรุงปราก
ความสำคัญทางสถาปัตยกรรม
บ้านเต้นรำมีลักษณะเป็นสองหอที่ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวได้ คล้ายกับคู่เต้นรำ ซึ่งสะท้อนถึงชื่อที่เสนอในตอนแรกว่า "Fred and Ginger" ตามชื่อคู่เต้นรำที่มีชื่อเสียงคือ เฟร็ด อาสแตร์ (Fred Astaire) และ จินเจอร์ โรเจอร์ส (Ginger Rogers) การออกแบบของอาคารมีลักษณะเฉพาะด้วยรูปทรงโค้งและรูปแบบที่ไม่สมมาตร โดยมีแผ่นคอนกรีต 99 แผ่นที่มีขนาดแตกต่างกันสนับสนุนโครงสร้างของมัน ส่วนบนสุดของอาคารประดับด้วยประติมากรรมโลหะที่บิดเบี้ยวซึ่งเรียกว่า "เมดูซ่า" (Medusa) ทำให้รูปลักษณ์ของอาคารมีความเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น
บริบททางประวัติศาสตร์
สถานที่ตั้งของบ้านเต้นรำมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเคยมีอาคารที่ถูกทำลายระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หลังสงครามพื้นที่นี้ยังคงว่างเปล่าจนถึงต้นทศวรรษ 1990 เมื่อวาคลาฟ ฮาเวล (Václav Havel) ประธานาธิบดีคนสุดท้ายของเชโกสโลวาเกีย และเพื่อนบ้านของอาคารนี้ได้สนับสนุนให้มีการก่อสร้างอาคารใหม่ โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงของสาธารณรัฐเช็กเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยใหม่หลังจากการล่มสลายของคอมมิวนิสต์
ความขัดแย้งและการตอบรับ
เมื่อเสร็จสิ้นการก่อสร้าง บ้านเต้นรำเผชิญกับการวิจารณ์อย่างมากจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมในสังคมปราก ซึ่งมองว่าการออกแบบที่ทันสมัยไม่เข้ากับบริบททางประวัติศาสตร์ของเมือง อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป อาคารนี้ได้กลายเป็นแลนด์มาร์คที่ได้รับความนิยมและเป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรมทางสถาปัตยกรรมในกรุงปราก ดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจในสถาปัตยกรรม
การใช้งานในปัจจุบัน
ปัจจุบัน บ้านเต้นรำเป็นที่ตั้งของสำนักงาน ร้านอาหาร และโรงแรม ชั้นบนสุดมีร้านอาหาร Ginger & Fred ซึ่งมีทิวทัศน์ที่สวยงามของเมือง ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมทั้งสำหรับคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว การออกแบบที่ไม่เหมือนใครและความสำคัญทางวัฒนธรรมยังคงทำให้มันเป็นจุดสนใจในบทสนทนาเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในกรุงปราก


